ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลไทรแอสสิก

“ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลไทรแอสสิก” 

อิกธิโอซอร์ เครดิต : Nobumichi Tamura

          การค้นพบอีกหนึ่งครั้งสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ คือ การค้นพบซากดึกดำบรรพ์กระดูกขากรรไกรของสัตว์เลื้อยคลานทะเล อายุ 205 ล้านปีก่อน หรือยุคไทรแอสสิกตอนปลาย ซึ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมา 

     
กระดูกขากรรไกรล่างของอิกธิโอซอร์ที่หาดลิลสต็อก
เครดิต : Dean Lomax
         เจ้าซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบนั้น คือ อิกธิโอซอร์ (Ichthyosaur) ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานทะเลร่วมยุคเดียวกับไดโนเสาร์ ผู้เชี่ยวชาญได้คาดคะเนความยาวตลอดทั้งตัว ประมาณ 26 เมตร ซึ่งมีขนาดเท่าๆกับวาฬสีน้ำเงินเลยทีเดียว

          ซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวได้ถูกค้นพบโดย นักสะสมซากดึกดำบรรพ์และคณะนักวิจัย บริเวณหาดลิลสต็อก เมืองโซเมอเซ็ต เกาะอังกฤษ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2016 พวกเขาได้กลับมายังพื้นที่ค้นพบหลายครั้งก็พบหลักฐานใหม่ๆอีกหลายชิ้นในบริเวณนี้ โดยพบซากดึกดำบรรพ์ขนาดยาวถึง 1 เมตร

       



           คณะนักวิจัยได้กล่าวว่า ตอนแรกที่พบกระดูกมันดูเหมือนเป็นก้อนหิน แต่หลังจากพิจารณาถึงร่องรอยและโครงสร้าง ทำให้คิดว่ามีลักษณะเหมือนเป็นส่วนหนึงของกรามของอิกธิโอซอร์ จึงได้ติดต่อไปยังดีน โลแม็กซ์ ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญด้านอิกธิโอซอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ และเชิญนักธรณีวิทยา เพื่อมาประเมินพื้นที่และกำหนดหาอายุของหินในพื้นที่ดังกล่าว

          ทีมสำรวจได้สำรวจพบกระดูกมีสภาพไม่สมบูรณ์ เป็นกระดูกขากรรไกรล่างของอิกธิโอซอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งพบเป็นเพียงส่วนเดียวของกะโหลกเท่านั้น พวกเขาได้เปรียบเทียบกระดูกดังกล่าวจากกระดูกของอิกธิโอซอร์ที่จัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ Royal Tyrrell ในรัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา โดยเปรียบเทียบกับอิกธิโอซอร์วงศ์ชาสตาซอริด (Shastasaurid) คือ โชนิซอรัส (Shonisaurus) ซึ่งมีความยาว 21 เมตร เป็นอิกธิโอซอร์วงศ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมาก่อน พบว่ากระดูกมีความคล้ายคลึงกัน จึงคาดว่าน่าจะเป็นอิกธิโอซอร์ที่อยู่ในวงศ์ชาสตาซอริด 
ซากดึกดำบรรพ์ขากรรไกรล่างของอิกธิโอซอร์วงศ์ชาสตาซอริด (Shastasaurid) ที่พิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ Royal Tyrrell
เครดิต : Nobumichi Tamura & Scott Hartman

          ตัวอย่างที่พบในลิลสต็อกมีความยาวกว่าตัวอย่างอิธิโอซอร์ที่มีอยู่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ คาดคะเนว่าจะมีความยาวลพตัวประมาณ 20 – 25 เมตร แต่อย่างไรก็ตามความยาวดังกล่าวอาจไม่ถูกต้อง เนื่องจากความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์ของอิกธิโอซอร์ และการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ยังมีน้อย ยากต่อการเปรียบเทียบ


แหล่งอ้างอิง : Dean R. Lomax, Paul De la Salle, Judy A. Massare, Ramues Gallois. A giant Late Triassic ichthyosaur from the UK and a reinterpretation of the Aust Cliff ‘dinosaurian’ bones. PLOS ONE, 2018; 13 (4): e0194742 DOI: 10.1371/journal.pone.0194742

แฝดแปด


“แฝดแปด” 

อิกธอโอซอร์ที่มีการตั้งครรภ์ เครดิต : Nobumichi Tamura

          นักบรรพชีวินวิทยาค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์เลื้อยคลานทะเลอิกธิโอซอร์ (Ichthyosaur) ที่มีการตั้งครรภ์ โดยพบว่ามีกระดูกขนาดเล็กๆ จำนวน 6 – 8 ชิ้น ของตัวอ่อนอยู่ภายในช่องท้องของมัน 

          ตัวอย่างที่ค้นพบนี้ถูกศึกษาโดยนักบรรพชีวินวิทยาชื่อว่า ไมค์ บอนด์ และ ดีน โลแม็กส์ จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ซึ่งตัวอย่างนี้ถูกจัดเก็บได้ในปี 2010 ใกล้กับเมืองวิทบี้ รัฐยอร์กชอร์ตอนเหนือ สหราชอาณาจักร มีอายุจูราสสิกตอนต้น โดยถูกจัดเก็บโดยมาติน ริกบี้ ซึ่งในตอนแรกคิดว่าซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวอาจจะมีตัวอ่อนอยู่ด้วย ในตอนหลังได้รับการยืนยันจากนักบรรพชีวินวิทยาแล้ว ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณธ์ยอร์กไชร์ 

ซากดึกดำบรรพ์อิกธิโอซอร์ที่มีการตั้งครรภ์ เครดิต : มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์

       
อิกธิโอซอร์ เครดิต : everythingdinosaur
       อิกธิโอซอร์ (Ichthyosaurs) เป็นสัตว์เลื้อยคลานทะเลที่มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคจูราสสิก พวกมันให้กำเนิดลูกน้อยโดยการออกลูกเป็นตัว แทนที่จะเป็นการวางไข่ และไม่ต้องกลับไปยังถิ่นกำเนิดเก่าเพื่อวางไข่อีกด้วย พวกมันเป็นสัตว์กินเนื้อ โดยกินสัตว์เลื้อยคลายขนาดเล็ก ปลา และสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลาหมึก เป็นต้น 

          ซากดึกดำบรรพ์อิกธิโอซอร์ (Ichthyosaurs) พบได้ทั่วไปในสหราชอาณาจักร มักพบในหินยุคจูราสสิก ซากดึกดำบรรพ์อิกธิโอซอร์มีการค้นพบเพียง 5 ตัวอย่าง ที่มีซากตัวอ่อนอยู่ภายใน โดยทั้ง 5 ตัวอย่างนี้พบในหินจูราสสิกทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ มีอายุ 200 – 190 ล้านปีก่อน 

         หินยุคจูราสสิกในยอร์กไชร์มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์อิกธิโอซอร์และสัตว์เลื้อยคลานทะเลอื่นๆอีกนับร้อยตัวอย่าง แต่ไม่เคยมีการค้นพบว่ามีซากดึกดำบรรพ์ที่มีตัวอ่อนอยู่ภายในอยู่ในบริเวณนี้ และการค้นพบนี้ยังเป็นตัวอย่างที่มีตัวอ่อนอายุน้อยที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมาในบริเวณนี้ โดยมีอายุประมาณ 180 ล้านปี 

         ในการศึกษาครั้งนี้ได้นำตัวอย่างมาตัดเป็นแผ่นหินขัดมันขนาดเล็ก นำไปส่องในกล้อง พบว่ามีเศษกระดูกสันหลังขนาดเล็ก อยู่ภายในช่องท้อง คาดว่ามีตัวอ่อนอยู่ภายในอย่างน้อย 6 ตัว อาจมากที่สุดถึง 8 ตัว 
ตัวอย่างแผ่นหินที่นำมาตัดเพื่อส่องดูภายใน เครดิต : Yorkshire Geological Society

          ไมค์ยังกล่าวว่า “ อาจมีความเป็นไปได้ว่าชิ้นส่วนเล็กๆนี้อาจเป็นกระเพาะอาหาร แต่มันคงไม่กลืนตัวอ่อนไปพร้อมกันทีเดียวถึง 6 -8 ตัวพร้อมกัน และดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า ไม่พบหลักฐานของการกัดกร่อนของกรดในกระเพาะอาหาร และไม่พบเศษชื้นส่วนของสัตว์ชนิดอื่นที่มันกินเข้าไป 

     
    มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์อิกธิโอซอร์ในเยอรมนี ซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับที่เมืองวิทบี้ ถูกระบุชนิดเป็น สตีโนเทอรีเจียส (Stenoterygius) ซึ่งซากดึกดำบรรพ์ที่พบที่นี่อาจจะเป็นชนิดเดียวกันกับที่พบในเยอรมนีด้วย 
สตีโนเทอรีเจียส (Stenoterygius) ซากดึกดำบรรพ์ที่พบในเยอรมนี เครดิต :  Motani et al. 2014

          ซาร่าห์ คิง ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติยอร์กไชร์ กล่าวว่า “ นี่เป็นการค้นพบที่เหลือเชื่อ และงานวิจัยของดีนและไมค์ ช่วยยืนยันว่าซากดึกดำบรรพ์อิกธิโอซอร์ที่พบมีตัวอ่อนอยู่ภายใน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ค้นพบหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนและการทะนุถนอมของสัตว์เลื้อยคลานทะเล ซึ่งเป็นนักล่าอันดับต้นๆในยุคนั้นอีกด้วย”


แหล่งอ้างอิง : Boyd, M. J. and Lomax, D. R. The youngest occurrence of ichthyosaur embryos in the UK: A new specimen from the Early Jurassic (Toarcian) of Yorkshire. Proceedings of the Yorkshire Geological Society, 2018 DOI: 10.1144/pygs2017-008

ชะตากรรมของเหยื่อ

ชะตากรรมของเหยื่อ

          คณะวิจัยจาก University of Geosciences (Beijing) เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ได้เปิดเผยข้อมูลใหม่ของไดโนเสาร์ เกี่ยวกับชะตากรรมการถูกล่า ก่อนที่จะตายลง จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่วิธีการศึกษาซากดึกดำบรรพ์สมัยใหม่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ใหม่มากขึ้นในปัจจุบัน

ลูเฟ็งโกซอรัส (Lufengosaurus huenei) กับรอยถูกกัดบริเวณซี่โครงด้านขวา
เครดิต : 
Zongda Zhang/Lida Xing, CC BY-SA

          ไดโนเสาร์ผู้ที่ได้รับการเปิดเผยชะตากรรมก่อนตายนั้นคือ ลูเฟ็งโกซอรัส (Lufengosaurus huenei) เป็นไดโนเสาร์ในกลุ่มซอโรพอดกินพืช มีชีวิตอยู่ในช่วงต้นยุคจูราสสิค (Lower Jurassic) หรือประมาณ 170 - 200 ล้านปีก่อน ขนาดยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน ถูกค้นพบในมณฑลยูนนาน เมื่อปี 2540

ตำแหน่งที่พบซากดึกดำบรรพ์ของลูเฟ็งโกซอรัส เครดิต : Lida Xing
           การค้นพบในครั้งแรกนั้น พบว่าโครงกระดูกมีความผิดปกติบริเวณซี่โครงด้านขวาของมัน คือ มีรอยเว้าแหว่งหายไปเกือบครึ่งนึง เมื่อมองจากด้านข้าง ซึ่งการศึกษาในอดีต ทำได้เพียงแค่ศึกษาจากลักษณะภายนอก การศึกษาลักษณะภายในทำได้ยาก เพราะอาจต้องมีการตัด หรือทำลายตัวอย่างซึ่งมีคุณค่าของชาติ ทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่มากนักเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ชนิดนี้

กระดูกซี่โครงของลูเฟ็งโกซอรัส ที่มีรอยแหว่ง เครดิต : Lida Xing
           หลังจากนั้น 20 ปี เทคโนโลยีในโลกปัจจุบันมีการพัฒนามากขึ้น ทำให้ไม่ต้องตัด ผ่า หรือทำลายตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ เรียกว่า X-ray micro-computed tomography หรือ micro-CT โดยการฉายรังสีเอ็กส์เข้าไปในซากดึกดำบรรพ์เพื่อศึกษาลักษณะภายใน ได้ภาพตัดขวางที่มีความละเอียดสูง และเป็น 3 มิติได้ด้วย ปัจจุบันใช้กันมากในวงการแพทย์

          จากการศึกษาพบว่า เป็นลักษณะการถูกกัดโดยนักล่าทำให้มีการติดเชื้อ กระดูกมีการสร้างใหม่ พร้อมกับการติดเชื้ออย่างรุนแรง และมีระยะเวลาการติดเชื้อที่ยาวนาน ก่อนที่สัตว์นั้นจะตายลง

          การติดเชื้อนี้ เรียกว่า osteomyelitis ซึ่งในกรณีนี้มีการเกิดลักษณะคล้ายฝีในกระดูก ซึ่ง Osteomyelitis เป็นการติดเชื้อที่รุนแรงในไขกระดูก มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย pyogenic (pus-producing) เข้าไปในกระดูก ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด ในกรณีดังกล่าวเคยพบว่า เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วในไดโนเสาร์กลุ่มไททันโนซอร์ (Titanosaurs) ในประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นการติดเชื่อแบคทีเรียในกระดูกสันหลัง

         ลักษณะรอยแผลและตำแหน่งของซี่โครงนั้นเราคิดว่าการติดเชื้ออาจเกิดจากการเจาะทะลุจากการกัด รูปหยดน้ำแสดงให้เห็นว่าความเสียหายเกิดจากฟันหรือกรงเล็บ และสอดคล้องกับหลักฐานการบาดเจ็บจากการกัดของนักล่าที่พบในที่อื่นในประวัติการศึกษาซากดึกดำบรรพ์จากแห่งอื่นด้วย
ลักษณะภายในของกระดูกลูเฟ็งโกซอรัส แสดงการสร้างใหม่ และมีการติดเชื้อ เครดิต : Patrick Randolph-Quinney, UCLan

         สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับกรณีศึกษานี้ คือ ทำให้เรามีหลักฐานความสัมพันธ์ ระหว่างไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ (sauropod) และ นักล่า (อาจเป็นไดโนเสาร์ หรือ สัตว์ร่วมยุคอื่นๆ) ที่อาศัยอยู่ในเวลานั้น เราไม่เพียงแต่มีหลักฐานของโรค ยังบ่งบอกพฤติกรรมระหว่างเหยื่อ และนักล่าในช่วงยุคนั้นด้วย
       
          คณะวิจัยยังไม่ทราบได้ว่า นักล่าที่ทิ้งรอยไว้บนซากดึกดำบรรพ์ของเจ้าลูเฟ็งโกซอระสนั้น เป็นใคร แต่จากลักษณะบาดแผลการโจมตีที่พลาดนั้น น่าจะเป็นเจ้าไซโนซอรัส (Sinosaurus) ซึ่งเป็นนักล่าที่รู้จักกันดีในยุคจูราสสิคตอนต้น ที่มีการค้นพบในมณฑลยูนนานด้วย
ไซโนซอรัส ไดโนเสาร์นักล่าที่อาศัยอยู่ร่วมยุคเดียวกันกับลูเฟ็งโกซอรัส เครดิต :
cisiopurple

          ปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวได้เข้ามามีบทบาทในวงการซากดึกดำบรรพ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งปกติจะใช้เฉพาะวงการแพทย์ ทำให้การศึกษาซากดึกดำบรรพ์มีความง่ายขึ้น เข้าใจอะไรได้มากขึ้น และค้นพบความรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น ก็หวังว่าในอนาคตจะมีข้อมูลหรือหลักฐานใหม่ ที่แสดงให้เห็นว่าเพื่อนร่วมโลกที่เคยมีชีวิตอยู่มาก่อนเรานั้น มีความเป็นอยู่อย่างไร มีพฤติกรรมเป็นอย่างไร หรือหน้าตาเป็นอย่างไร ความรู้เหล่านี้อาจจะทำให้สะเทือนวงการวิทยาศาสตร์เลยก็เป็นได้ รอเฝ้าติดตามกันต่อไป...



แหล่งที่มา : http://theconversation.com/the-dinosaur-that-got-away-how-we-diagnosed-a-200-million-year-old-infected-predator-bite-93628

หน้าตาไม่ได้บ่งบอกถึงสายพันธุ์


หน้าตาไม่ได้บ่งบอกถึงสายพันธุ์
นาซูโตเซอราทอปศ์ (Nasutoceratops) เครดิต : Andrey Atuchin
ไดโนเสาร์กลุ่มเซอราทอปเซียน
เครดิต : N, Tamura

        

            จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยควีนแมรี่ ในกรุงลอนดอน เปิดเผยว่าแผงคอและเขาของไดโนเสาร์ในกลุ่มเซอราทอปเซียน (Ceratopsians) อาจไม่ได้มีไว้สำหรับใช้จดจำพวกเดียวกัน จากที่เคยเชื่อว่าสัตว์ต่างสายพันธุ์กันที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันจะมีลักษณะบางชนิดที่แตกต่างกัน เพื่อแยกแยะลักษณะเด่นของตัวมันเอง สามารถจดจำพวกเดียวกันได้ และยังป้องกันการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์อีกด้วย

 


         เพื่อทดสอบสมมติฐานนี้ ทางทีมวิจัยได้ตรวจสอบความหลากหลายของลักษณะเด่นที่พบในไดโนเสาร์ในกลุ่มเซอราทอปเซียน จำนวน 46 สปีชีส์ แต่ก็ไม่พบความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์ทั้งที่อาศัยอยู่ที่เดียวกันและอาศัยอยู่ต่างที่กัน





            งานวิจัยที่ผ่านๆมาของมหาวิทยาลัยควีนแมรี่ แสดงให้เห็นว่า แผงคอของไดโนเสาร์กลุ่มเซอราทอปเซียน มีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าลักษณะอื่นๆในตัวมัน ซึ่งอาจพัฒนาขึ้นมาเพื่อแสดงความพร้อมทางเพศมากกว่า เนื่องจากโครงสร้างเหล่านี้มักจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความพร้อมให้กับร่างกายต่อการผสมพันธุ์ การค้นพบนี้ดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มหลักฐานสำคัญให้กับไดโนเสาร์ในกลุ่มนี้

ลักษณะการเจริญเติบโตและการคัดเลือกทางเพศของไดโนเสาร์กลุ้มเซอราทอปเซียน เครดิต : Greg S. Paul
ลักษณะทางเพศของเทอโรซอร์บางชนิด


        แอนดรู แนปป์ นักศึกษาปริญญาเอกจากวิทยาลัยชีววิทยาและเคมี กล่าวว่า ข้อสันนิษฐานนี้ยังไม่เคยมีใครค้นพบหรือยังไม่ได้ทดสอบอย่างจริงจัง เกี่ยวกับต้นกำเนิดและลักษณะต่างๆในไดโนเสาร์กลุ่มเซอราทอปเซียน ในงานเขียนต่างๆที่มีมาก็ยังเป็นที่กังขาอยู่ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มีไว้ทำไม แต่การค้นพบนี้ก็มีแนวโน้มที่เป็นไปได้ เพราะในสิ่งมีชีวิตกลุ่มอื่นๆก็มีลักษณะนี้เช่นกัน



         

            นักวิจัยยังเชื่อว่าการค้นพบดังกล่าวมันเป็นความรู้ใหม่สำหรับไดโนเสาร์กลุ่มเซอราทอปเซียนและมีผลต่อทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งมีการศึกษามายาวนาน กลับต้องมารื้อและปรับเปลี่ยนใหม่

โครงกระดูกของคาสโมซอรัส เครดิต : Royal Tyrrell Museum of Paleontology
             แต่ถึงจะมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่มีมากมายในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าวิวัฒนาการของไดโนเสาร์มีความเป็นมาอย่างไร ก็ยังไม่สามารถอธิบายในเรื่องบางเรื่องได้ อย่างลักษณะเด่นที่พบบนหัวของพวกเซอราทอปเซียน อย่างแผงคอและเขา เพราะการศึกษาเพียงแค่กระดูกที่ค้นพบก็ไม่สามารถรู้อะไรได้เยอะ รู้แค่เพียงความแตกต่างและแยกแยะออกจากสปีชีส์อื่นได้ แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามีไว้ทำไม ก็ได้แต่ตั้งทฤษฎีกันไป


แหล่งอ้างอิง : Patterns of divergence in the morphology of ceratopsian dinosaurs: sympatry is not a driver of ornament evolution, Proceedings of the Royal Society B (2018). rspb.royalsocietypublishing.or … .1098/rspb.2018.0312

อ่านเพิ่มเติมที่ : https://phys.org/news/2018-03-dinosaur-frills-horns-evolve-species.html#jCp



หัว "สมอง" โบราณ


หัว “สมอง” โบราณ
Kerygmachela kierkegaardi สิ่งมีมีวิตโบราณที่มีการค้นพบสมองในซากดึกดำบรรพ์
          การค้นพบซากดำบรรพ์ของสัตว์นักล่าในทะเลโบราณ ซึ่งดำรงชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 520 ล้านปีก่อน ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจถึงวิวัฒนาการของสมองที่ซับซ้อนขึ้นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เจคอบ วิทเทอร์ และคณะวิจัยในไซต์สำรวจ

   ซากดึกดำบรรพ์นี้มีชื่อว่า “
Kerygmachela kierkegaardi”เป็นสัตว์ทะเลในกลุ่มArthropods หรือสัตว์มีข้อปล้อง ญาติห่างๆกับแมลงนั่นเอง มีรูปทรงประหลาดคล้ายไข่ มีสิ่งที่ยื่นออกมาบนหัวคล้ายหนวด 2 หนวด มีอวัยวะคล้ายปีก ใช้สำหรับว่ายน้ำข้างละ 11 ปีก และหางเรียวยาว นักวิจัยชื่อเจคอบ วิทเทอร์กล่าวว่า “การค้นพบสัตว์ชนิดนี้มีมานานแล้ว แต่การค้นพบสมองของมันนั้นยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักบรรพชีวินวิทยา”

(ซ้าย) ภาพวาดแสดงลักษณะภายในของสมองของ Kerygmachela kierkegaardi (ขวา) ลักษณะซากดึกดำบรรพ์ที่พบในหิน
          สัตว์ชนิดนี้มีความยาวมากถึง 25 เซนติเมตร การค้นพบสมองที่ติดมาด้วยพบว่า มีลักษณะที่ไม่ซับซ้อน และมีเพียงแค่ส่วนเดียว ซึ่งหมายความสมองมีความซับซ้อนน้อยกว่าสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันที่เป็นญาติห่างๆกัน ซึ่งมีสมอง 3 ส่วน เช่น แมงมุม กุ้ง หรือแมลงต่างๆ

          การค้นพบนี้ไม่เพียงแค่เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุด แต่ยังมีความสำคัญในแง่ของวิวัฒนาการของสมองจาก 1 ส่วน ไปเป็น 3 ส่วน อย่างที่พบในสัตว์มีกระดูกสันหลังและกลุ่มสัตว์มีข้อปล้องในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าอาจมีบรรพบุรุษร่วมกันก็ได้ ซึ่งก็รอการศึกษาต่อไป...

          แม้ว่าสมองของ Kerygmachela จะมีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่ก็ช่วยให้มันสามารถรอดพ้นจากการสูญพันธุ์ในช่วงต้นยุคแคมเบรียน เมื่อราว 540 ล้านปีก่อน การพัฒนาปีก 11 คู่ สำหรับใช้ว่ายน้ำอย่างรวดเร็ว และช่วยในการล่าเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาดวงตาที่ใหญ่ขึ้น และขากรรไกรที่ช่วยในการล่าเหยื่ออีกด้วย

          ลักษณะดวงตาของมันมีลักษณะที่ก้ำกึ่งระหว่างดวงตาของญาติห่างๆ ในปัจจุบัน อย่างหนอนกำมะหยี่ (Velvet worms) และหมีน้ำ (Water bears, Tardigrades) ที่มีลักษณะไม่ซับซ้อนมากและดวงตาที่ซับซ้อนมากของสัตว์มีข้อปล้องอื่นๆที่พบเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
Fig. 4
ลักษณะสมอง และระบบประสาทของสัตว์ในกลุ่มมีข้อปล้อง
          นักวิจัยพบว่านี่เป็นครั้งแรกที่ค้นพบซากดึกดำบรรพ์สมองของ Kerygmachela ในหมวดหินบีน (Buen Formation) ทางตอนเหนือของกรีนแลนด์ ในปี 2011 และ 2016 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสมองและระบบประสาทมีการพัฒนาและมีแพร่หลายทั่วไปมากกว่าที่คิดว่าสิ่งมีชีวิตในช่วงนั้นจะมี...


แหล่งที่มา : Park, Tae-Yoon S. and Kihm, Ji-Hoon and Woo, Jusun and Park, Changkun and Lee, Won Young and Smith, M. Paul and Harper, David A. T.and Young, Fletcher and Nielsen, Arne T. and Vinther, Jakob (2018) 'Brain and eyes of Kerygmachela reveal protocerebral ancestry of the panarthropod head.', Nature communications., 9 (1). p. 1019.

นกยุคแรกบินได้เหมือนนกปัจจุบัน : จริงหรือ?

นกยุคแรกบินได้เหมือนนกปัจจุบัน : จริงหรือ?
       

         
         มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเจ้า อาร์คีออพเทอริก (Archaeopteryx) เป็นไดโนเสาร์คล้ายนก หรือนกคล้ายไดโนเสาร์กันแน่ หรือมันบินได้ เพียงแค่กระพือปีกเหมือนนกในปัจจุบันมั้ย? หรือทำได้แค่ร่อนลงมาจากที่สูง?คำถามต่างๆเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาให้กับเหล่านักบรรพชีวินวิทยามาหลายทศวรรษ

       
            การค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของ อาร์คีออพเทอริก ในหลายสิบปีที่ผ่านมาทำได้แค่ศึกษาลักษณะภายนอกที่เห็นได้ การเจาะ ผ่า หรือทำลายซาก เพื่อการศึกษาลักษณะภายในจะทำได้ลำบาก เนื่องจากมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์น้อย และเป็นสมบัติที่มีคุณค่ามากที่สุดในโลก “แต่ในปัจจุบันเราสามารถศึกษาลักษณะภายในของกระดูกซากดึกดำบรรพ์ได้แล้ว โดยไม่ต้องทำลายซากดึกดำบรรพ์” ด็อกเตอร์เพิร์ล นักวิทยาศาสตร์จาก ESRF (European Synchroton Radiation Facility) ได้กล่าวไว้
   


       

          เทคโนโลยีนั้นเรียกว่า “Synchronton Microtomography หรือ X-ray Microtomography” โดยการฉายรังสีเอ็กส์ เข้าไปในกระดูกของซากดึกดำบรรพ์ เพื่อสร้างเป็นภาพตัดขวาง หรือภาพสามมิติ เพื่อดูโรงสร้างภายในนั่นเอง
      จากการศึกษาโดย X-ray Microtomography พบว่า กระดูกของเจ้าอาร์คีออพเทอริกมีลักษณะคล้ายกับนกในปัจจุบัน คือ มีผนังที่กลวงและบาง ซึ่งเหมาะสำหรับใช้บินข้ามสิ่งกีดขวางหรือหนีนักล่า โดยไม่ต้องขึ้นจากที่สูงแล้วร่อนลงมาเหมือนกับนกทะเลบางชนิด
        
       


            นอกจากนี้การค้นพบว่าอาร์คีออพเทอริกซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกสามารถบินได้เหมือนกับนกปัจจุบัน มีชีวิตและโบยบินอยู่ในอากาศอยู่ในช่วงปลายยุคจูแรสสิก หรือ ประมาณ 150 ล้านปีก่อน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยังคิดต่อไปว่า วิวัฒนาการของปีกก่อนที่จะสามารถบินได้ น่าจะมีมาก่อนหน้านี้อีก ซึ่งรอการค้นพบและศึกษาต่อไป

แหล่งอ้างอิง : Dennis F. A. E. Voeten et al, Wing bone geometry reveals active flight in Archaeopteryx, Nature Communications (2018). DOI: 10.1038/s41467-018-03296-8
รูปภาพ : ESRF

ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลไทรแอสสิก

“ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลไทรแอสสิก”  อิกธิโอซอร์ เครดิต : Nobumichi Tamura           การค้นพบอีกหนึ่งครั้งสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ คือ...